วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

เว็ปลงทุนจ่ายจริง exincome,exincome.,exincome.

>>>>> เว็ปลงทุน5วันเงินออก+แผนการทำเงินให้งอกเป็น1000$/5วัน <<<<<< >>>>>>> เว็ปลงทุนจ่ายจิง 5วัน120%+แผนการทำเงินให้งอกเป็นราก <<<<<<<< >>>>>>> เว็ปลงทุนจ่ายจิง 5วัน120%+แผนการหาตังขั้นต้นครับ <<<<<<<<
การรับจ่าย LR - AP - PM สมัค http://www.exincome.com/?ref=wasapontey มี 3 แบบ ให้เล่น แบบที่ 1 120% 5วัน เช่นลง 5$ ครบ5วัน จะได้ 6 $ กำไล 1$ =30 บาท ลง 100$ กำไล 20$ =600บาท แบบที่ 2 145% 10วัน เช่นลง 100$ ครบ10วัน จะได้ 145$ กำไร 45$ แบบที่ 3 170% 15วัน 200$ ก็ได 340$ กำไล 140$ โหมากเลย แนะนำวิธีทำ คิดจาก 120% แบบที่ 1 เดือรที่ 1จากขั้นต่ำ 5$>6$>7.6$>9.12$>10.9>13.08 30วันที่ลงครับ เงินแค่ 5$ เอง จากนั้นก็ 13 ทำงอกไปเรื่อยๆ ครับ วิธีผมนะงบน้อย
เดือน 2 ลงต่อจากเดือน 1 13.08>15.69>18.8>22.56>27.07>32.48 2 เดือนก็ได้ประมาน 32.48 แล้วครับ = >>960<< บาท จากเงิน 150 บาท
แปล Make deposit = ฝากเงินเข้า
แปล withdraw = ถอน
กด ถอน รอ 2 วันครับ
----------------------------------------------------------------------------

การสมัคธาคารออลไน www.alertpay.com
วิธีสมัค : http://www.jobthookjai.com/index.php?menu_id=1&menu_name=Home&refid=184188
เข้าไปแล้ว คลิก ขั้นตอนการสมัคต่างๆ แล้ว ดู วิธีสมัค alertpay แล้วทำตามขั้นตอนเลยครับ

เว็ปซื้อขายเงินAP http://thaiebayshop.com/forum/index.php?topic=120.0
----------------------------------------------------------------------------

ทำแผนมาให้ดู ครับ 2 แผน แผน 1 และ 2
http://upic.me/i/nj/66666.jpg
ดูจากแผน 1 นะคับ คือเราลงไป 5$ จะได้กลับมา 6$ กำไล 1$=30 บาท สามารถถอนได้เลยครับ รอ 2 วันได้ครับ
ถ้าจะลง กี่ $ ก็จะได้ 120% ครับแผนที่ 1 ครับ

สมัค http://www.exincome.com/?ref=wasapontey




การจ่าย จ่ายจริง 100%
http://upic.me/i/bm/k3ak3.jpg



สมัค http://www.exincome.com/?ref=wasapontey

การลงทุนมีความเสี่ยงโปรดตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนครับ
----------------------------------------------------------------------------------
ติดต่อ email : wasapontey@gmail.com
ออมทรัพได้ตังครับ ไม่ต้องหาสมาชิก ไม่ขาย ฝากๆๆ
http://www.teamasteriarich.com/?id=184188
http://www.jobthookjai.com/refer.php?refid=184188
http://atr-club.com/?id=184188

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

งานบนเน็ตที่ทำได้จริง 100%

- คลับแอสทีเรียไม่ใช่งานขาย ไม่ใช่ธุรกิจ MLM เป็นเหมือนสหกรณ์ออมเงิน
- เป็นแผนรายได้ที่ช่วยเหลือให้ทุกคนรับรายได้สูงสุด $280 - $400 ต่อสัปดาห์ ได้เงินทุกคนครับ เพราะไม่จำเป็นต้องแนะนำใคร
- ต้องสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับสิทธิต่างๆจากคลับแอสทีเรีย โดยสมาชิกจะมี 2 แบบ คือ แบบ Silver จ่าย $9.95/เดือน และแบบ Gold จ่าย $19.95/เดือน
- สมาชิก Gold จะได้รับคะแนนแอสเทรีโอเพิ่ม 20 คะแนน(ทุกเดือน) และเมื่อแนะนำสมาชิกเพิ่มจะได้รับค่าแนะนำ $4.5(Silver) และ$9(Gold) ต่อคน(ทุกเดือน)
- แผนรายได้ : คลับแอสทีเรียจะจ่ายเงินปันผลและแต้มให้เราทุกสัปดาห์ ซึ่งช่วงแรกๆ จะน้อยมาก แต่ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (เหมือนดอกเบี้ยทบต้นทบดอกไปเรื่อยๆ)
(ยิ่งแต้มเยอะรายได้ก็จะเยอะขึ้นด้วย)จนกระทั่งถึงจุดสูงสุดคือ 20,000 แต้ม และรับเงินสูงสุด $280 - $400 ต่อสัปดาห์
- ในตารางแผนรายได้ เป็นการคิดคะแนนแบบสมาชิก Gold เพราะแบบ Gold จะได้คะแนนเพิ่มขึ้นอีก 20 คะแนนทุกครั้งที่เราจ่ายรายเดือนเข้าไป
ซึ่งจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายสูงสุด $280 - $400 ต่อสัปดาห์ ภายใน 19 - 25 เดือนครับ


***************************************************************************
แล้วต้องทำงานอะไรบ้างถึงจะได้รับเงิน มีวิธีให้เลือกครับ
1. นั่งกิน นอนกิน ไม่ต้องทำอะไรซักอย่าง แค่จ่ายรายเดือนไปเรื่อยๆทุกเดือน แล้วรอจนแต้มถึงจุดสูงสุด 20,000 แต้ม
ก็รับสูงสุด $280 - $400 ต่อสัปดาห์ทันที ใช้เวลาประมาณ 19 - 25 เดือน
2. ใช้วิธีลัดให้ ถึงเป้าหมายโดยใช้เวลาไม่กี่เดือน
2.1 ซื้อแต้ม (แต้มละ $1) โปรโมชั่นตอนนี้คือ ถ้าซื้อ 250 แต้มภายใน 14 วัน จะได้รับเพิ่มเท่าตัวทันที เช่น
ซื้อ 250 แต้ม รับเพิ่มทันอีก 250 แต้ม รวมเป็น 500 แต้ม เดือนต่อๆ ไปคุณก็ไม่ต้องควักจ่ายรายเดือนเพิ่มอีก
เพราะรายได้เริ่มต้น 521 แต้มอยู่ที่ประมาณ $9 ในสัปดาห์แรก ซึ่งมันก็จะเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ เมื่อคุณมีรายได้
คุณก็เบิกเงินมาไว้ใน Alertpay (ธนาคารออนไลน์) เมื่อครบ 30 วัน ทางแอสทีเรียจะหักค่ารายเดือนจาก Alertpay
โดยอัตโนมัติเองครับ เราก็แค่นั่งรอ นอนรอ จำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
2.2 แนะนำคนเยอะๆ ครับ ได้ $9 ต่อคนทุกเดือน ค่าแนะนำ $9 รับทันทีเมื่อสมาชิกที่เราแนะนำอัพเกรดเสร็จ
(เพียง 3 คน ก็จะได้ค่าแนะนำ $27 เพียงพอต่อการจ่ายค่ารายเดือนทุกเดือนแล้ว)
แนะนำ 1 คนได้ 5 แต้ม จะได้แต้มก็ต่อเมื่อต้องแนะนำให้ครบ 10 คน ทางแอสทีเรียจะให้แต้มเราทีเดียวเลย
รวม 50 แต้ม (ต้องเมล์ไปแจ้งเมื่อแนะนำครบ 10 คน)

ติดต่อ email : wasapontey@gmail.com
รายละเอียดครับ http://www.teamasteriarich.com/?id=184188
http://www.jobthookjai.com/refer.php?refid=184188

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

การซิงโครไนซ์โปรเซส

การซิงโครไนซ์โปรเซส โดยทั่วไปแล้วโปรเซสจะไม่เกี่ยวข้องกัน โดยต่างก็ทางานของตนและมีความเป็นอิสระกัน เรียกว่า อะซิงโครนัส(Asynchronous) แต่ก็มีบางโปรเซสที่มีการติดต่อกัน และยังมีการเข้าจังหวะของโปรเซสอีกด้วย การเข้าจังหวะของโปรเซสนั้นเรียกว่า โปรเซสเกิดการซิงโครไนซ์ (Synchronize) การซิงโครไนซ์โปรเซส หมายถึง การทางานของโปรเซส 2 โปรเซสที่เกี่ยวข้องกัน เช่น ใช้ทรัพยากรร่วมกัน หรือใช้ข้อมูลต่อเนื่องกัน ทำให้ต้องมีการรอจังหวะให้สามารถทางานได้ถูกต้อง

1. Race Condition

คือสภาวะที่โปรเซส 2 โปรเซส ที่ต้องการใช้ทรัพยากรที่แชร์ไว้พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน ทำให้ผลลัพธ์อาจจะเกิดการผิดพลาดขึ้นได้ขึ้นอยู่กับว่าโปรเซสใดทำเสร็จก่อนเรียกสภาวะนี้ว่า Race Condition

2. Mutual Exclusion and Critical Region

เป็นการแก้ปัญหา Race Condition คือ ป้องกันไม่ให้โปรเซสอื่นเข้ามาครองครองทรัพยากรได้ในขณะที่โปรเซสอื่นครอบครองอยู่เรียกว่า Mutual Exclusion : ทำทีละprocess

บริเวณที่โปรเซสเข้าไปครอบครองทรัพยากร เรียกว่าCritical Region : Process ครอบครอง resource อยู่

คือ เมื่อโปรเซสใดก็ตามอยู่ใน Critical Region แล้วโปรเซสอื่นจะเข้าไปอยู่ใน Critical Region ไม่ได้ ต้องรอให้โปรเซสนั้นออกจาก Critical Region ก่อน

2. Mutual Exclusion and Critical Region

คุณสมบัติ 4 ประการของ Mutual Exclusion

• จะต้องไม่มีโปรเซส 2 โปรเซสอยู่ใน Critical Regionพร้อมกัน

ไม่มีข้อจำกัดด้านความเร็ว และจำนวยซีพียูมาเกี่ยวข้อง

จะต้องไม่มีโปรเซสที่อยู่นอก Critical Region บล็อกการทำงานของโปรเซสอืื่น

จะต้องไม่มีโปรเซสใดที่รอการเข้า Critical Regionตลอดเวลา

Clock Interrupt เป็นการขัดจังหวะที่บอกซีพียูว่าอยู่ในสถานะรันครบเวลาควันตัม แล้ว

• I/O Interrupt เป็นการขัดจังหวะที่บอกซีพียูว่าโปรเซสที่อยู่ในสถานะบล็อกทำงานกับ I/O เสร็จแล้ว เมื่อซีพียูรับทราบ ซีพียูก็จะหยุดโปรเซสที่กำลังรันอยู่ แล้วให้มาจัดการกับโปรเซสที่อยู่ในสถานะบล็อกที่ส่งอินเทอรร์รัพท์ไปยังสถานะพร้อมเพื่อทำงานต่อไป

4. Sleep and Wakeup

ถ้าโปรเซสใดต้องการเข้า Critical Region แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตก็วนรอบรอจนกว่าโปรเซสที่กำลังอยู่ใน Critical

Region เสร็จออกมา ทำให้้เสียเวลารอ ดังนั้นจึงแก่ปััญหาโดยการบล็อก (Sleep and Wakeup)แทนการ วนรอ โดย

• Sleep เป็น system call เพื่อบล็อกให้โปรเซสหยุดทำงานจนกว่าจะมีโปรเซสอื่นมาปลุกให้ทำงานต่อ

• Wakeup เปน็น system call ที่ปลุกใหโ้โปรเซสทำางานตอ่อ

• Sleep และ Wakeup จะทำ งานสลับกันมีการใช้พารามิเตอร์และแอ็ดเดรสของหน่วยความจำที่สัมพันธ์กัน

ตัวอย่าง Sleep and Wakeup คือ ปัญหาของ Producer-Consumerผู้ผลิต ผู้บริโภค

ทั้ง 2 จะใช้ buffer ที่ share ร่วมกันในขนาดคงที่ กำาหนดให้มี

Producer และ Consumer ได้อย่างละ 1 ตัว โดยทำงานดังนี้

– Producer จะทำหน้าที่ผลิตข้อมูลเก็บไว้ใน buffer และหยุดผลิตเมื่อ buffer เต็ม

– Consumer จะนำข้อมูลจาก buffer ไปใช้ ( ใน buffer ต้องมี

ข้อมูลอย่างน้อย 1 ชิ้น ) และหยุดนำข้อมูลออกเมื่อ bufferว่าง

ดังนั้น Producer จะ sleep เมื่อ buffer เต็ม และ wakeup

เมื่อ Consumer นำข้อมูลไปใช้ เมื่อมีข้อมูลอย่างน้อน 1ชุด ในบัฟเฟอร์

ดังนั้น Consumer จะ sleep ตัวเอง เมื่อ buffer ว่าง และ

wakeup เมื่อ Producer ผลิตข้อมูล เพื่อนำข้อมูลออกไป

– Sleep เป็นการเปลี่ยนสถานะ Running ไปเป็น Blocked

– Wakeup เป็นการเปลี่ยนสถานะ Blocked ไปเป็นRunning

5. Semaphore

เป็นตัวแปรจำนวนเต็ม เพื่อนับจำนวน wakeup ที่จะนำไปใช้ใน

อนาคต โดยกำหนดให้

ค่าเริ่มต้นเป็น 0 --> ไม่มีการwakeup

ถ้าค่าเป็น + --> มีการwakeup

จะมี 2 ปฏิบัติการ คือ Down และ Up ทั้ง 2 ปฏิบัติการจะใช้

ตัวแปรร่วมกันคือ s (semaphore เป็นค่า integer)

ปฏิบัติการ Down ใน Semaphore จะตรวจสอบค่าตัวแปร

ถ้าค่า s มากว่า 0 จะลดค่า s ลงที่ละ 1 และดำเนินการต่อ

ถ้าค่า s = 0 ; Process จะ sleep โดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น

การตรวจสอบ หรือการเช็คค่า s ลดลง ไปสู่การ sleep นั้น จะถูก

กระทำด้วย คำสั่งที่ไม่สามารถถูกรบกวนได้ (การรบกวนจากการของใช้ s จาก process อื่น) ทำให้ค่า s ถูกใช้เพียงครั้งเดียวจนทุกอย่่างเสร็จสิิ้น เรียกว่่า indivisible automatic action

1. The Dining Philosophers Problem

เป็นปัญหาในการเกิด Deadlock อันเนื่องมาจากการใช้ทรัพยากรที่มีการใช้ร่วมกัน โดยปัญหาที่เกิดจากการที่นักปราชญ์ได้ล้อมวงทานอาหาร โดยที่ข้างชามจะมีตะเกียบอยู่ 1 อัน ดังรูป

แต่การที่แต่ละคนจะทานได้ต้องใช้ตะเกียบ 2 อันพร้อมกัน ซึ่งจากภาพจะทานได้มากที่สุด 2 คนพร้อมกัน โดยคนที่เหลือจะต้องรอจนกว่าคนที่ทานอยู่จะทานเสร็จและวางตะเกียบลง แต่ในกรณีที่ต่างคนต่างหยิบพร้อมๆ กัน เช่นหยิบตะเกียบด้านซ้ายพร้อมกัน ทุกคนจะไม่สามารถทานอาหารได้เพราะต่างคนจะมีตะเกียบอันเดียว ทาให้เกิด Deadlock ขึ้น

2. The Readers-Writers Problem

ในการอ่านและเขียนข้อมูลลงในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการอ่านและเขียนข้อมูลพร้อมๆ กัน เพราะหากมีการเขียนแสดงว่ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล ซึ่งหากมีการอ่านก็จะทาให้ได้ข้อมูลที่ผิดพลาด ดังนั้นจึงมีการแก้ปัญหาโดยการกำหนดการเขียนและอ่านไม่ให้เกิดขึ้นพร้อมกันโดยจะจัดลาดับงานตามเวลาที่งานมาถึง โดยหากเป็นช่วงที่อ่านข้อมูล ระบบปฏิบัติการจะกันไม่ให้มีการเขียน แต่ระหว่างนี้จะอนุญาตให้งานอื่นอ่านข้อมูลได้ด้วย

3. The Sleeping Barber Problem

เป็นการจาลองการประมวลผลโดยเปรียบเทียบกับร้านตัดผม โดยให้ช่างตัดผมเป็น CPU ส่วนลูกค้าจะเป็นโปรเซส ในช่วงที่ไม่มีลูกค้า ช่างตัดผมจะนอนรอบนเก้าอี้ตัดผม เมื่อมีลูกค้าเข้ามา ลูกค้าจะปลุกช่างตัดผม จากนั้นช่างตัดผมจะลุกให้ลูกค้านั่งแล้วจึงเริ่มตัดผม(ทาการประมวลผล) แต่ถ้าในช่วงที่ยังตัดอยู่มีลูกค้าคนใหม่เข้ามาอีก ลูกค้าคนนั้นต้องนั่งคอยที่เก้าอี้ที่จัดให้(โปรเซสรอในคิว) เมื่อตัดผมลูกค้าคนแรกแล้วจึงเรียกลูกค้าในคิวมาตัดต่อไป แต่ถ้ามีคนรอในร้านเต็มหมดแล้วจะไม่รับลูกค้าเข้ามาอีก โดยที่เหลือต้องรอนอกร้าน แต่ถ้าไม่มีลูกค้าเหลืออยู่เลน ช่างตัดผมก็จะมานอนที่เก้าอี้ตัดผมเพื่อรอลูกค้า การทางานแบบนี้ ลูกค้า(โปรเซส) จะเข้ามาเพียงครั้งเดียวจนตัดผมเสร็จ แต่ช่างตัดผม(CPU) จะวนทางานเรื่อยๆ เพื่อตัดผมลูกค้าทุกคน

การแก้ปัญหาส่วนวิกฤติ (The Critical-Section Problem)

คำตอบสำหรับการแก้ปัญหาส่วนวิกฤติต้อวงเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสามข้อต่อไปนี้

1. การกีดกัน (Mutual exclusion) ถ้าโปรเซส Pi กำลังปฏิบัติการอยู่ในส่วนวิกฤติแล้ว ต้องไม่มีโปรเซสอื่นใดกำลังอยู่ในส่วนวิกฤติของโปรเซสเหล่านั้นด้วย นั่นคือ ในขณะใดขณะหนึ่งมีเพียงโปรเซสเดียวเท่านั้นที่อยู่ในส่วนวิกฤติของตน

2. ความก้าวหน้า (Progress) ถ้าไม่มีโปรเซสใดกำลังปฏิบัติการอยู่ในส่วนวิกฤติแล้วมีบางโปรเซสเข้าสู่ส่วนวิกฤติของตน ในการเลือกว่าโปรเซสใดจะได้เข้าสู่ส่วนวิกฤติของตนต่อไปนั้น ระบบก็จะพิจารณาจากทุกๆ โปรเซสยกเว้นโปรเซสที่กำลังทำงานอยู่ในส่วนที่เหลือนั้น โดยการเลือกนี้ต้องไม่เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

3. การรออย่างมีขอบเขต (Bounded waiting) จะต้องมีขอบเขตของเวลาในการรอโดยเริ่มนับตั้งแต่เวลาที่โปรเซสอื่นได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ส่วนวิกฤติไปหลังจากมีโปรเซสหนึ่งร้องขอจนมาถึงเวลาที่ระบบทำตามคำร้องขอของโปรเซสนั้น

โปรเซสที่เข้าสู่ส่วนวิกฤติไม่ได้ในขณะนั้นจะดำเนินการรอต่อไปอย่างไร ทั้งนี้แนวคิดในการแก้ปัญหาโดยทั่วไปมี 2 รูปแบบคือ

1. การรอแบบไม่ว่าง (preemptive kernels) ในแต่ละโปรเซสมีการกำหนดเงื่อนไขที่ต้องการใช้ในการตรวจสอบก่อนเข้าสู่ส่วนวิกฤติ ซึ่งถ้าหากไม่สามารถผ่านเงื่อนไขนี้ไปได้ โปรเซสไม่สามารถเข้าสู่ส่วนวิกฤติของตนเองได้ และวนเวียนตรวจสอบเงื่อนไขนั้นอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะได้เข่าสู่ส่วนวิกฤติ นั่นคือ ในระหว่างรอโปรเซสนั้นไม่ได้อยู่นิ่งเฉยแต่ยังต้องทำคำสั่งทำซ้ำและทดสอบเงื่อนไขอยู่เรื่องยๆ

2. การขัด (nonpreemptive kernels) ในการรอแบบไม่ว่างนั้นไม่ได้ทำให้ระบบเกิดผลงานใดๆ ขึ้นมา จึงการเป็นการใช้วงรอบการทำงานของหน่วยประมวลผลกลางที่ไม่ได้ประโยชน์ และยังต้องแย่งชิงกันเข้าใช้หน่วยประมวลผลกลางระหว่างโปรเซสร่วมงานอื่นๆ ที่กำลังวนลูปรอเข้าสู่ส่วนวิกฤติ รวมทั้งโปรเซสที่เป็นแบบอิสระทั้งหลายในระบบด้วย ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาให้ทำการบล็อกโปรเซสที่ต้องการเข้าสู่ส่วนวิกฤติแต่ยังไม่อาจเข้าได้เนื่องจากมีโปรเซสอื่นกำลังทำงานอยู่

ระบบปฏิบัติการ DOS

ระบบปฏิบัติการ DOS

DOS เป็นระบบปฏิบัติการ (operating system) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ
การเรียก DOS ขึ้นมาใช้งานจะเรียกว่า การ Boot DOS ซึ่งมี 2 วิธี
Cold Boot - การ Boot DOS ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ซึ่งมีขั้นตอน คือ
1. ใส่แผ่น DOS ใน Drive A (กรณี Boot จากแผ่น)
2. เปิดสวิตซ์เครื่องและจอภาพตามลำดับ
Warm Boot - การ Boot DOS ในขณะที่เครื่องเปิดอยู่แล้ว ซึ่งจะใช้วิธีนี้เมื่อเครื่องเกิดอาการ hang ขณะที่กำลังใช้งาน
1. ใส่แผ่น DOS ใน Drive A (กรณี Boot จากแผ่น)
2. กดปุ่ม Ctrl-Alt-Del แล้วปล่อย
1. การใช้แฟ้มข้อมูล
กฎการตั้งชื่อ file
1. มีความยาวไม่เกิน 8 ตัวอักษร
2. ไม่มีช่องว่างระหว่างชื่อ
3. ไม่มีอักขระพิเศษดังนี้ . “ / \ : | < > = ; ,
4. สามารถใส่นามสกุลหรือส่วนขยาย (Extension) ได้ไม่เกิน 3 ตัว ซึ่งต้องมีจุดคั่นระหว่างชื่อกับนามสกุล
ตัวอย่างชื่อไฟล์
A:\SUB1\SUB11\TEST.DAT ส่วนขยายไฟล์
จุดเชื่อมระหว่างชื่อกับส่วนขยายไฟล์
ชื่อไฟล์
Path (Directory และ Sub Directory)
ชื่อไดร์ฟ เช่น A: B: C:
ตัวอย่างการตั้งชื่อไฟล์ TEST 123 FILE1 EX09 TEST.DAT EXAM.TXT
2. เครื่องหมายพิเศษที่ใช้แทนชื่อไฟล์เป็นกลุ่ม (Wildcard Character)
? แทนอักขระใดก็ได้ 1 หรือ 0 ตัว ที่ตำแหน่ง ? นั้น
เช่น TEST?.DAT อาจหมายถึงไฟล์ที่ขึ้นต้นด้วย TEST ตามด้วยอักขระใดๆก็ได้ 1 หรือ 0 ตัว ที่มีส่วนขยายเป็น
DAT ดังนั้น TEST.DAT , TEST1.DAT หรือ TEST2.DAT จะอยู่ในกลุ่มการอ้างถึงแบบนี้ แต่ไฟล์ TEST11.DAT
ไม่อยู่ในกลุ่มการอ้างถึงแบบนี้
* แทนอักขระใดๆ ก็ได้ที่ตำแหน่ง * นั้น
เช่น EXAM*.DAT อาจหมายถึงไฟล์ EXAM.DAT, EXAM1.DAT, EXAM12.DAT หรือ EXAMPLE.DAT

*.* หมายถึงไฟล์ทุกไฟล์ ทุกชื่อ ทุกส่วนขยาย
*T.DAT หมายถึงไฟล์ที่ชื่อขึ้นต้นด้วยอักขระใดๆ ลงท้ายด้วย T และมีส่วนขยายเป็น DAT
3. ประเภทของคำสั่ง DOS
3.1 คำสั่งภายใน (Internal Command)
• เป็นคำสั่ง DOS ที่อยู่ในหน่วยความจำ (RAM) ตลอดเวลาซึ่งถูกบรรจุตั้งแต่ Boot DOS ดังนั้นใน
การเรียกใช้คำสั่งภายใน จึงไม่ต้องมีแผ่น DOS
• คำสั่งภายในจะเป็นส่วนหนึ่งของไฟล์ COMMAND.COM ดังนั้นเมื่อเรียกดูไฟล์ (DIR) จะไม่เห็น
3.2 คำสั่งภายนอก (External Command)
• เป็นคำสั่งที่เก็บในแผ่น DOS ดังนั้นเมื่อใช้คำสั่งนี้ต้องมีแผ่น DOS ทุกครั้ง (ในกรณี Boot จากแผ่น)
• คำสั่งประเภทนี้เมื่อเรียกดูไฟล์ (DIR) จะมีส่วนขยายเป็น COM หรือ EXE
4. รูปแบบของคำสั่ง
ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ เป็นข้อความสำคัญ (Keyword) ต้องพิมพ์และสะกดตามนั้น
ตัวอักษรพิมพ์เล็ก เป็นสิ่งที่ผู้ใช้ต้องระบุค่า
[ ] (วงเล็บก้ามปู) ส่วนของข้อความที่อยู่ในเครื่องหมายนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ค่า แต่ถ้าใส่เข้าไปจะปฏิบัติงาน
ตามนั้น (ให้เลือกปฏิบัติ)
| เป็นเครื่องหมายคั่นระหว่างกิจกรรม 2 อย่าง ซึ่งให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
(I) เป็นคำสั่งภายใน
(E) เป็นคำสั่งภายนอก
5. คำสั่งต่างๆ
5.1 คำสั่ง DIR
รูปแบบคำสั่ง (I) DIR [d:] [filename.[.ext]] [/P] [/W]
เป็นคำสั่งภายในการเรียกดูชื่อและรายละเอียดแฟ้มข้อมูล (file) ในแผ่น
d: ระบุไดร์ฟของแผ่น
filename ชื่อแฟ้มข้อมูลที่ต้องการค้นหา
.ext ส่วนขยายของชื่อแฟ้มข้อมูลที่ต้องการค้นหา
/P แสดงทีละจอภาพ
/W แสดงเฉพาะรายชื่อเรียงกันแถวละ 5 ชื่อ
ตัวอย่าง
C:\>DIR
C:\>DIR A:

C:\>DIR COMMAND.COM
C:\>DIR DOS
C:\>DIR DOS\*.EXE
C:\>DIR DOS\ ????.*
C:\>DIR DOS\W?????.EXE
5.2 คำสั่ง COPY
รูปแบบคำสั่ง (I) COPY [d1:] [path] filename1 [.ext]
หรือ
COPY [d1:] [path] filename1 [.ext] [d2:] [path]
หรือ
COPY [d1:] [path] filename1 [.ext]
[d2:] [path] filename2 [.ext]
เป็นคำสั่งในการสำเนาแฟ้มข้อมูล
ตัวอย่าง
A:\>COPY C:\COMMAND.COM
A:\>COPY C:\DOS\?????.EXE
C:\>COPY COMMAND.COM A :COMMANDC.COM
5.3 คำสั่ง COPY CON
รูปแบบคำสั่ง (I) COPY CON [d1:] [path] filename [.ext]
เป็นคำสั่งในการสร้างแฟ้มข้อมูล (โดยรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด แล้วจบด้วย Ctrl+Z ตามด้วย Enter)
ตัวอย่าง
C:\>COPY CON A:EXAM1
5.4 คำสั่ง REN
รูปแบบคำสั่ง (I) REN [NAME] [d1:] [path] filename1 [.ext] filename2 [.ext]
เป็นคำสั่งในการเปลี่ยนชื่อแฟ้มข้อมูล (ไฟล์ยังคงเก็บอยู่ที่เดิม)
ตัวอย่าง
C:\>REN A:COMMANDC.COM COMMAND.DAT
C:\>REN A:*.EXE *.BAT

5.5 คำสั่ง DEL
รูปแบบคำสั่ง (I) DEL [d:] [path] filename [.ext]
เป็นคำสั่งในการลบแฟ้มข้อมูล
ตัวอย่าง
C:\>DEL A:COMMAND.DAT
C:\>DEL A:????.BAT
5.6 คำสั่ง TYPE
รูปแบบคำสั่ง (I) TYPE [d:] [path] filename [.ext]
เป็นคำสั่งในการขอดูข้อมูลในไฟล์
ตัวอย่าง
C:\>TYPE A:EXAM
C:\>TYPE A:\SUB2\EXAM2
5.7 คำสั่ง CLS
รูปแบบคำสั่ง (I) CLS
เป็นคำสั่งในการล้างจอภาพ
5.8 คำสั่ง DATE
รูปแบบคำสั่ง (I) DATE
เป็นคำสั่งในการขอดูหรือแก้ไขวันที่ ตามรูปแบบ mm-dd-yy
5.9 คำสั่ง TIME
รูปแบบคำสั่ง (I) TIME
เป็นคำสั่งในการขอดูหรือแก้ไขเวลา ตามรูปแบบ hh-mm[:ss[.xx]]
5.10 คำสั่ง VER
รูปแบบคำสั่ง (I) VER
เป็นคำสั่งในการขอดูเวอร์ชันของ DOS ที่ใช้
5.11 คำสั่ง VOL
รูปแบบคำสั่ง (I) VOL [d:]
เป็นคำสั่งในการขอดูชื่อแผ่น (volume label)
5.12 คำสั่ง LABEL
รูปแบบคำสั่ง (E) [d:] [path] LABEL
เป็นคำสั่งในการขอดูหรือแก้ไขชื่อแผ่น
5
5.13 คำสั่ง PROMPT
รูปแบบคำสั่ง (I) PROMPT
เป็นคำสั่งในการเปลี่ยนเครื่องหมายเตรียมพร้อม (DOS Prompt) โดยใช้เครื่องหมาย $ นำหน้าอักษรต่อไปนี้
t เวลา
d วันที่
v เวอร์ชัน DOS
n ไดร์ฟ
g เครื่องหมายมากกว่า
l เครื่องหมายน้อยกว่า
q เครื่องหมายเท่ากับ
b เครื่องหมาย :
ตัวอย่าง
C:\>PROMPT $n
C:\>PROMPT $g
C:\>PROMPT $n$g
C:\>PROMPT $d$q
C:\>PROMPT $p$g
5.14 คำสั่ง MD
รูปแบบคำสั่ง (I) MD [d:] [path] หรือ MKDIR [d:] [path]
เป็นคำสั่งในการสร้างไดเรคทอรี
ตัวอย่าง
A:\>MD SUB1
A:\>MD \SUB1
A:\>MD \SUB1\SUB11
5.15 คำสั่ง CD
รูปแบบคำสั่ง (I) CD [d:] [path]
เป็นคำสั่งในการย้ายการทำงานเข้าสู่ไดเรคทอรี
ตัวอย่าง
A:\>CD \SUB1
A:\>CD \SUB1\SUB11
CD.. ย้ายออกจากไดเรคทอรีปัจจุบัน 1 ขั้น
CD\ ย้ายกลับมาที่ root directory
5.16 คำสั่ง RD
รูปแบบคำสั่ง (I) RD [d:] [path]
เป็นคำสั่งในการลบไดเรคทอรี
6
ตัวอย่าง
A:\>RD \SUB1
A:\>RD \SUB1\SUB11
5.17 คำสั่ง TREE
รูปแบบคำสั่ง (E) [d:] TREE [d:] [path] [/F]
เป็นคำสั่งในการขอดูโครงสร้างไดเรคทอรี
/F แสดงชื่อไฟล์ด้วย
ตัวอย่าง
C:\>TREE A:
C:\>TREE A:/F
5.18 คำสั่ง FORMAT
รูปแบบคำสั่ง (E) [d:] [path] FORMAT [d:] [/S] [/V] [/1] [/8] [/B] [/4]
เป็นคำสั่งในการเตรียมแผ่นดิสเกตต์ไว้ใช้งาน
d: ระบุไดร์ฟ
path ระบุเส้นทางไดเรคทอรี
/S ฟอร์เมทแผ่นไว้ใช้งานและสามารถใช้บูทเครื่องได้
/V ขอตั้งชื่อแผ่นดิสเกตต์ด้วย
/B ฟอร์เมทแผ่นแบบ 8 sector ต่อ track พร้อมทั้งเป็นแผ่นบูทเครื่องได้
/4 จะทำการฟอร์เมทแผ่นแบบ double-side ให้เป็นแบบ high-capacity
ตัวอย่าง
C:\>FORMAT A:/S
C:\>FORMAT A:/V





คำสั่งระบบปฏิบัติการ Unix


1.คำสั่ง man เป็นคำสั่งที่เป็นคู่มือการใช้คำสั่งแต่ละคำสั่งเช่น$ man ls$ man cp
2.คำสั่ง alias ใช้ย่อคำสั่งให้สั้นลง $ alias l = ls -l$ alias c = clear
3.คำสั่ง cal เป็นคำสั่งที่ใช้แสดง ปฏิทินของระบบ
4.คำสั่ง clear มีค่าเหมือนกับ คำสั่ง cls ของ dos ใช้ลบหน้าจอ terminal ให้ว่าง$ clear
5.คำสั่ง cmp เปรียบเทียบไฟล์สองไฟล์
6.คำสั่ง cat มีค่าเหมือนกับ คำสั่ง type ของ dos ใช้ดูข้อมูลในไฟล์ เช่น$ cat filename
7.คำสั่งcut เพื่อดึงฟิลด์ที่ 3 จากไฟล์ /etc/passwd โดยระบุ : (colon) เป็นตัวคั่นฟิลด์ (-d:) และดึงเฉพาะฟิลด์ที่ 3 (-f3)
8.คำสั่ง date ใช้แสดง วันที่ และ เวลา$ date 17 May 1999
9.คำสั่งdiff ใช้เปรียบเทียบไฟล์สองไฟล์ว่ามีความกว้างห้องต่างกันอย่างไร
10.คำสั่ง echo $ echo "Hello" ใช้แสดงข้อความ "Hello" ขนาดปกติ
11.คำสั่งexit คำสั่งที่ใช้ในการออกจาก shell ที่เรกำลังใช้งานอยู่
12.คำสั่งexpv ประมวลคำจากสูตรคณิตศาสตร์
13.คำสั่ง find ใช้ค้นหาไฟล์ที่ต้องการ เช่น $ find /usr/bin -name "*sh" -print หาไฟล์ที่ลงท้ายด้วย sh จาก /usr/bin
14.คำสั่งfinger ใช้แสดงรายละเอียดของผู้ใช้
15.คำสั่ง grep ใช้คนหาข้อความที่ต้องการจากไฟล์ $ grep ข้อความ file
16.คำสั่งhead จะแสดงส่วนหัวของแฟ้มข้อมูล ตามจำนวนบรรทัดที่ต้องการ
17.คำสั่ง more แสดงข้อมูลทีละหน้าจอ อาจใช้ร่วมกับเครื่องหมาย pipe line ( ) หากต้องการดูหน้าถัดไปกด space ดูบรรทัดถัดไปกด Enter เช่น$ ls -la more$ more filename
18.คำสั่งless เป็นการพัฒนาคำสั่ง more ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจาก more จะไม่สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ less จึงเป็นปรับปรุงและเพิ่มเติมเงื่อนไขบางอย่างให้ more
19.คำสั่งpasswd เปลี่ยน passwovd คนทำงานปัจจุบัน
20.คำสั่งsort ใช้เพื่อทำการจัดเรียงข้อมูลในแฟ้มตามลำดับ (ทั้งนี้จะถือว่าข้อมูลแต่ละบรรทัดเป็น 1 record และจะใช้ field แรกเป็น key)
21.คำสั่งsu จะเปลี่ยนตนเองเป็น super userเพื่อใช้สิทธิสูงสุดในการบริหารระบบ
22.คำสั่งtail จะแสดงส่วนท้ายของข้อมูลตามจำนวนบรรทัดที่ต้องการ
23.คำสั่งtouch สร้างไฟล์ที่ว่างเปปล่าหรือปรับเปลี่ยนวันเวลาที่บันทึกลงบนไฟล์
24.คำสั่งw ใช้แสดงว่าใครใช้งานอยู่บ้างขณะนั้น $ w
25.คำสั่งwhoami ใช้เพื่อแสดงว่าผู้ใช้ซึ่ง login เข้าสู่ระบบนั้น (ตัวเราเอง) login ด้วยชื่ออะไร
26.คำสั่งwho ใช้แสดงว่าใครใช้งานอยู่บ้างขณะนั้น$ who
27.คำสั่งwhich คำสั่งเพื่อส่งข้อมูลทางเดียวจากผู้เขียนไปถึงผู้รับ
28.คำสั่งwheveis ค้นหาแฟ้มที่ต้องการว่าอยู่ที่ห้องใดแต่ค้นหาได้เฉพาะที่



คำสั่ง telnet
เป็นคำสั่งที่เปลี่ยน host ที่ใช้อยู่ไปยัง host อื่น (ใน Windows 95 ก็มี)
รูปแบบ $ telnet hostname
เช่น c:> telnet student.rit.ac.th เปลี่ยนไปใช้ host ชื่อ student.rit.ac.th
$ telnet 202.44.130.165 เปลี่ยนไปใช้ host ที่มี IP = 202.44.130.165
$ telnet 0 telnet เข้า host ที่ใช้อยู่นะขณะนั้น
เมื่อเข้าไปได้แล้วก็จะต้องใส่ login และ password และเข้าสู่ระบบยูนิกส์นั้นเอง

คำสั่ง ftp
ftp เป็นคำสั่งที่ใช้ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง โดยการติดต่อกับ host ที่เป็น ftp นั้นจะต้องมี user name และมี password ที่สร้างขึ้นไว้แล้ว แต่ก็มี ftp host ที่เป็น public อยู่ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นจะมี user name ที่เป็น publicเช่นกัน คือ user ที่ชื่อว่า anonymous ส่วน password ของ user anonymous นี้จะใช้เป็น E-mail ของผู้ที่จะ connect เข้าไปและโปรแกรมส่วนใหญ่ก็จะอยู่ใน directory ชื่อ pub
รูปแบบ $ ftp hostname
เช่น c:windows> ftp wihok.itgo.com
$ ftp ftp.nectec.or.th
คำสั่ง ftp จะมีคำสั่งย่อยที่สำคัญๆ ได้แก่
ftp> help ใช้เมื่อต้องการดูคำสั่งที่มีอยู่ใในคำสั่ง ftp
ftp> open hostname ใช้เมื่อต้องการ connect ไปยัง host ที่ต้องการ
ftp> close ใช้เมื่อต้องการ disconnect ออกจาก host ที่ใช้งานอยู่
ftp> bye หรือ quit ใช้เมื่อต้องการออกจากคำสั่ง ftp
ftp> ls หรีอ dir ใช้แสดงชื่อไฟล์ที่มีอยู่ใน current directory ของ host นั้น
ftp> get ใช้โอนไฟล์ทีละไฟล์จาก host ปลายทางมายัง localhost หรือเครื่องของเรานั้นเอง
ftp> mget ใช้โอนไฟล์ทีละหลายๆไฟล์จาก host ปลายทางมายัง localhost
ftp> put ใช้โอนไฟล์ทีละไฟล์จาก localhost ไปเก็บยัง host ปลายทาง
ftp> mput ใช้โอนไฟล์ทีละหลายๆไฟล์จาก localhost ไปเก็บยัง host ปลายทาง
ftp> cd ใช้เปลี่ยน directory
ftp> delete และ mdelete ใช้ลบไฟล์

คำสั่ง ls
มีค่าเหมือนกับ คำสั่ง dir ของ dos
รูปแบบ $ ls [-option] [file]
option ที่สำคัญ

l แสดงแบบไฟล์ละบรรทัด แสดง permission , เจ้าของไฟล์ , ชนิด , ขนาด , เวลาที่สร้าง
a แสดงไฟล์ที่ซ่อนไว้ ( dir /ah)
p แสดงไฟล์โดยมี / ต่อท้าย directory
F แสดงไฟล์โดยมีสัญญลักษณ์ชนิดของไฟล์ต่อท้ายไฟล์คือ
/ = directory
* = execute file
@ = link file
ld แสดงเฉพาะ directory (dir /ad)
R แสดงไฟล์ที่อยู่ใน directory ด้วย (dir /s)

เช่น
$ ls
$ ls -la

คำสั่ง more
แสดงข้อมูลทีละหน้าจอ อาจใช้ร่วมกับเครื่องหมาย pipe line ( | ) หากต้องการดูหน้าถัดไปกด space ดูบรรทัดถัดไปกด Enter เช่น
$ ls -la | more
$ more filename

คำสั่ง cat
มีค่าเหมือนกับ คำสั่ง type ของ dos ใช้ดูข้อมูลในไฟล์ เช่น
$ cat filename

คำสั่ง clear
มีค่าเหมือนกับ คำสั่ง cls ของ dos ใช้ลบหน้าจอ terminal ให้ว่าง
$ clear

คำสั่ง date
ใช้แสดง วันที่ และ เวลา
$ date 17 May 1999

คำสั่ง cal
ใช้แสดง ปฏิทินของระบบ
รูปแบบ $ cal month year เช่น
$ cal 07 1999

คำสั่ง logname
คำสั่งแสดงชื่อผู้ใช้ขณะใช้งาน
$ logname

คำสั่ง id
ใช้แสดงชื่อและกลุ่มมของผู้ใช้งาน
$ id

คำสั่ง tty
แสดงหมายเลข terminal ที่ใช้งานอยู่
$ tty

คำสั่ง hostname
คำสั่งแสดงชื่อเครื่องที่ใช้อยู่
$ hostname

คำสั่ง uname
คำสั่งแสดง ชื่อและรุ่นของ OS ชื่อและรุ่นของ cpu ชื่อเครื่อง
$ uname -a

คำสั่ง history
คำสั่งที่ใช้ดูคำสั่งที่ใช้ไปแล้วก่อนหน้านี้
$ history
เวลาเรียกใช้ต้องมี ! แล้วตามด้วยหมายเลขคำสั่งที่ต้องการ

คำสั่ง echo และ banner
$ echo "Hello" ใช้แสดงข้อความ "Hello" ขนาดปกติ
$ banner "Hello" ใช้แสดงข้อความ "Hello" ขนาดใหญ่

คำสั่ง who , w และ finger
ใช้แสดงว่าใครใช้งานอยู่บ้างขณะนั้น
$ who
$ w
$ finger ดูผู้ใช้ที่ host เดียวกัน
$ finger @daidy.bu..ac.th ดูผู้ใช้โดยระบุ Host ที่จะดู
$ finger wihok ดูผู้ใช้โดยระบุคนที่จะดูลงไป
$ who am i แสดงชื่อผู้ใช้ เวลาที่เข้าใช้งาน และ หมายเลขเครื่อง
$ whoami เหมือนกับคำสั่ง logname

คำสั่ง pwd
แสดง directory ที่เราอยู่ปัจจุบัน
$ pwd

คำสั่ง mkdir
ใช้สร้าง directory เทียบเท่า MD ใน DOS
$ mkdir dir_name

คำสั่ง cp
ใช้ copy ไฟล์หนึ่ง ไปยังอกไฟล์หนึ่ง
รูปแบบ $ cp [-irfp] file_source file_target
option -i หากมีการทับข้อมูลเดิมจะรอถามก่อนที่จะทับ
option -r copy ไฟล์ทั้งหมดรวมทั้ง directory ด้วย
option -f ไม่แสดงข้อความความผิดพลาดออกหน้าจอ
option -p ยืนยันเวลาและความเป็นเจ้าของเดิม
$ cp file_test /tmp/file_test

คำสั่ง mv
ใช้ move หรือเปลี่ยนชื่อไฟล์
รูปแบบ $ mv [-if] file_source file_target
ความหมายของ option เช่นเดียวกับ cp
$ mv index.html main.html เปลี่ยนชื่อไฟล์ index.html เป็น main.html

คำสั่ง rm
ใช้ลบไฟล์หรือ directory โดยที่ยังมีข้อมูลภายในเทียบเท่า del และ deltree ของ dos
รูปแบบ $ rm [-irf] filename
$ rm -r dir_name ลบ dir_name โดยที่ dir_name เป็น directory ว่างหรือไม่ว่างก็ได้
$ rm -i * ลบทุกไฟล์โดยรอถามตอบ

คำสั่ง rmdir
ใช้ลบ directory ที่ว่าง เทียบเท่ากับ rd ของ Dos
$ rmdir dir_name

คำสั่ง alias
ใช้ย่อคำสั่งให้สั้นลง
$ alias l = ls -l
$ alias c = clear

คำสั่ง unalias
ใช้ยกเลิก alias เช่น
$ unalias c

คำสั่ง type
ใช้ตรวจสอบว่าคำสั่งที่ใช้เก็บอยู่ที่ใดของระบบ
รูปแบบ $ type command
$ type clear

คำสั่ง find
ใช้ค้นหาไฟล์ที่ต้องการ เช่น
$ find /usr/bin -name "*sh" -print หาไฟล์ที่ลงท้ายด้วย sh จาก /usr/bin

คำสั่ง grep
ใช้คนหาข้อความที่ต้องการจากไฟล์
$ grep ข้อความ file

คำสั่ง man
man เป็นคำสั่งที่เป็นคู่มือการใช้คำสั่งแต่ละคำสั่งเช่น
$ man ls
$ man cp

คำสั่ง write
ใช้ส่งข้อความไปปรากฎที่หน้าจอของเครื่องที่ระบุในคำสั่งไม่สามารถใช้ข้าม host ได้
เช่น $ write s0460003

คำสั่ง mesg
$ mesg ดู status การรับการติดต่อของ terminal
$ mesg y เปิดให้ terminal สามารถรับการติดต่อได้
$ mesg n ปิดไม่ให้ terminal สามารถรับการติดต่อได้

คำสั่ง talk
ใช้ติดต่อสื่อสารแบบสองทาง เหมือนกับการคุยโดยผู้ส่ง ๆ ไปแล้วรอการตอบกลับจาก ผู้รับ สามารถหยุดการติดต่อโดย Ctrl + c สามารถใช้ข้าม host ได้
รูปแบบ $ talk username@hostname

คำสั่ง pine
ใช้อ่านและส่งจดหมายข้างในจะมี menu ให้ใช้
คำสั่ง tar

ใช้สำหรับ รวมไฟล์ย่อยให้เป็นไฟล์ Packet คล้ายๆกับการ zip หลายๆไฟล์ให้เป็นไฟล์เดียวแต่ขนาดไฟล์ไม่ได้ลดลงอย่างการ zip โดยไฟล์ output ที่ได้จะตั้งชื่อเป็น filename.tar หรือการแตกไฟล์ packet จาก filename.tar ให้เป็นไฟล์ย่อยมักจะใช้คู่กับ gzip หรือ compress เพื่อทำการลดขนาด packet ให้เล็กลง

รูปแบบการใช้

$ tar -option output input
-option ประกอบด้วย -cvf , -tvf , -xvf แสดงดังด้านล่าง
output คือ ไฟล์.tar หรืออาจจะเป็น device เช่น tape ก็ได้
input คือ ไฟล์หรือกลุ่มไฟล์หรือ directory หรือรวมกันทั้งหมดที่กล่าวมา
$ tar -cvf Output_file.tar /home/myhome/*
Option -cvf ใช้สำหรับการรวมไฟล์ย่อยไปสู่ไฟล์ .tar จากตัวอย่าง รวมไฟล์ทุกไฟล์ที่อยู่ใน /home/myhome/ เข้าสู่ไฟล์ชื่อ Output_file.tar
$ tar -tvf filename.tar
Option -tvf ใช้แตกไฟล์ .tar เป็นไฟล์ย่อยๆแบบ preview คือแสดงให้ดูไม่ได้แตกจริงอาจใช้คู่กับ คำสั่งอื่น เพื่อให้ได้ประโยชน์ตามต้องการ เช่น tar -tvf filename.tar |more
$ tar -xvf filename.tar
Option -xvf ใช้แตกไฟล์ .tar เป็นไฟล์ย่อยๆ โดยจะแตกลง ณ current directory

คำสั่ง gzip

ใช้ zip หรือ Unzip ไฟล์ packet โดยมากแล้วจะเป็น .tar เช่น
$ gzip filename.tar ผลที่ได้จะได้ไฟล์ซึ่งมีการ zip แล้วชื่อ filename.tar.gz
$ gzip -d filename.tar.gz ใช้ unzip ไฟล์ผลที่ได้จะเป็น filename.tar

คำสั่ง Compress และ Uncompress

หลังจากการ compress แล้วจะได้เป็นชื่อไฟล์เดิมแต่ต่อท้ายด้วย .Z การใช้งานเหมือนกับ gzip และ gzip -d เช่น
$ compress -v file.tar จะได้ไฟล์ชื่อ file.tar.Z โดย Option -v จะเป็นการ verify การ compress
$ uncompress -v file.tar.Z

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

เพิ่มประสิทธิภาพ Wireless Network

10 คำแนะนำการเพิ่มประสิทธิภาพ Wireless Network ภายในบ้านของคุณ
จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีส่วนทำให้การติดตั้งระบบ Wireless
Network ตามบ้านได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ถึงแม้อุปกรณ์ Wireless Network ในปัจจุบันจะ
มีการพัฒนาเทคโนโลยีการรับส่งสัญญาณให้ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก แต่ในบางครั้งหลายๆท่านก็ยังคงประสบ
ปัญหาสัญญาณอ่อน, การรับส่งสัญญาณช้ากว่าที่ควรจะเป็นอยู่ ดังนั้น Tips & Tricks ในฉบับนี้จึงขอแนะนำ
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Wireless Network ของคุณอย่างง่ายๆให้คุณลองนำไปประยุกต์ใช้
กันให้เกิดประโยชน์สูงสุดกัน
1. วางตำแหน่ง wireless router ให้อยู่จุดกึ่งกลางของบ้าน
เนื่องจากเสาส่งสัญญาณของ wireless router โดยทั่วไปจะเป็นเสาแบบส่งสัญญาณรอบทิศทาง เป็นรัศมี
วงกลมกระจายออกไป ดังนั้นเพื่อให้การรับส่งสัญญาณไร้สายภายในบ้านมีประสิทธิภาพมากที่สุดจึงควรวาง
ตำแหน่งของ wireless router ในบริเวณกึ่งกลางบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้ประโยชน์จากลักษณะ
การส่งสัญญาณแบบนี้ให้มากที่สุด หากบ้านของคุณเป็นทาวเฮาส์หรือตึกแถวผมแนะนำให้วาง wireless
router ไว้ที่ชั้นกลางของบ้าน จะช่วยให้การรับส่งสัญญาณไร้สายมีประสิทธิภาพสูงสุด
2. หลีกเลี่ยงการวาง Wireless Router ที่พื้น, ติดกำแพง, หรือใกล้โลหะ
นอกจากให้วาง Wireless Router ไว้บริเวณกึ่งกลางบ้านให้มากที่สุดแล้ว คุณยังควรหลีกเลี่ยงการวางไว้ที่พื้น
การวางไว้ติดชิดฝาผนังบ้านโดยเฉพาะผนังคอนกรีต และการวางไว้ใกล้กับเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ที่เป็นโลหะ
เช่นตู้เก็บเอกสารที่ทำด้วยเหล็กไว้ด้วย เพราะทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่ง
สัญญาณไร้สายของตัว Wireless Router มีประสิทธิภาพต่ำลงทั้งสิ้น
3. เปลี่ยนเสาส่งสัญญาณเป็นเสาส่งสัญญาณความถี่สูง
หาก Wireless Router ที่คุณใช้เป็นแบบที่สามารถถอดเปลี่ยนเสาส่งสัญญาณได้ ผมขอแนะนำให้ลองเปลี่ยน
เสาส่งสัญญาณความถี่สูงแบบต่อแยกต่างหากจากตัวเครื่องได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเพิ่มรัศมีในการรับส่ง
สัญญาณไร้สายให้กว้างไกลมากขึ้นแล้ว ยังสะดวกสบายในการปรับแต่งเคลื่อนย้ายการวางเสาไปไว้ในตำแหน่งที่
น่าจะส่งสัญญาณกระจายไปทั่วบ้านได้ดีที่สุดได้อีกด้วย
4. เปลี่ยนตัวรับสัญญาณไร้สายในคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นแบบ USB Network Adapter
ในบางกรณีการส่งสัญญาณของ Wireless Router ของคุณอาจมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว แต่การรับสัญญาณที่
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอาจจะยังไม่ดีพอเองก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นหากเครื่องโน้ตบุ๊กองเครื่องใช้ตัวรับ
สัญญาณไร้สาย(Wireless Adapter)แบบ PC Card ที่เสียบติดกับตัวเครื่อง ผมขอแนะนำให้ทดลองเปลี่ยน
มาใช้ตัวรับสัญญาณแบบ USB แบบที่มีสายต่อเชื่อมยาวออกจากตัวเครื่องได้ ซึ่งคุณเคลื่อนย้ายตำแหน่งการจัด
วางเพื่อให้สามารถรับคลื่นสัญญาณจาก Wireless Router ได้ดียิ่งขึ้น
5. เพิ่มรัศมีการรับส่งสัญญาณด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เพิ่มเติม
สำหรับคุณมีปัญหาไม่สามารถเคลื่อนย้าย Wireless Router จากตำแหน่งเดิมได้ และประสบปัญหา
คลื่นสัญญาณอ่อน ผมขอแนะนำให้ติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เพิ่มเติมอีกหนึ่งจุด ซึ่งเหมือนกับการเพิ่ม
ระยะการรับส่งสัญญาณไปอีกอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว และนอกจากนี้คุณยังสามารถเพิ่มไปในจุดต่างๆได้มากจุด
เท่าที่คุณต้องการได้อีกด้วย โดยให้ตั้งตำแหน่งที่เป็นจุดกึ่งกลางของบริเวณที่คุณต้องการขยายรัศมีการรับส่ง
สัญญาณออกไป
6. เปลี่ยนคลื่นความถี่ในการส่งสัญญาณไร้สายของตัว Wireless Router
ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีในขณะนี้ คุณอาจจะยังไม่มีงบประมาณสำรองในการซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมมาช่วยเพิ่ม
ประสิทธิภาพ Wireless Network ในบ้านของคุณ คุณอาจจะลองใช้วิธีปรับแต่งช่วงความถี่คลื่นในการรับส่ง
สัญญาณของ Wireless Router ของคุณเองก็ได้ โดยปกติ Wireless Router จะมีส่วนของ Wireless
Channel ให้ทดลองปรับเปลี่ยนได้อยู่แล้ว ให้คุณเข้าไปปรับค่าในส่วนนี้ให้ค้นหาคลื่นความถี่ที่ดีที่สุดของคุณ
ส่วนวิธีการปรับเปลี่ยนให้ศึกษาได้จากคู่มือใช้งาน Wireless Router ของคุณเอง
7. พยายามลดคลื่นรบกวนการรับส่งสัญญาณไร้สายให้มากที่สุด
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งสัญญาณไร้สายลดลงก็คือ การมีคลื่นรบกวนจากอุปกรณ์ต่างๆ
ภายในบ้านที่มีการปล่อยคลื่นความถี่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเตาไมโครเวฟ, โทรทัศน์, รวมไปถึงเครื่องรับสัญญาณ
ทีวีดาวเทียม โดยเฉพาะอุปกรณ์ไร้สายอย่างเช่นโทรศัพท์ไร้สายที่ใช้ระดับคลื่นความถี่ที่ 2.4GHz ซึ่งเป็นระดับ
เดียวกับ wireless router จะสร้างคลื่นรบกวนให้การรับส่งสัญญาณเป็นอย่างมาก จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้
อุปกรณ์ไร้สายอื่นๆที่ใช้คลื่นความถี่ระดับเดียวกันนี้ภายในบ้า
8. อัพเดทเฟิร์มแวร์และไดรเวอร์ของอุปกรณ์ไร้สายของคุณให้ใหม่สุด
โดยทั่วไปบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ไร้สายจะมีการอัพเดทเฟิร์มแวร์และไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์ของตัวเองอยู่เป็น
ระยะๆอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการปรับปรุงการทำงานของตัวเครื่องและรองรับการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ
และอุปกรณ์ใหม่ๆได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในบางครั้งการอัพเดทยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากยิ่งขึ้นได้อีก
ด้วย ผมจึงขอแนะนำให้คุณเข้าไปดูเว็บของบริษัทผู้ผลิตเป็นระยะๆ หากพบว่ามีอัพเดทใหม่ให้คุณดาวน์โหลดมา
ติดตั้งทันที เพื่อให้คุณสามารถใช้งานระบบ wireless network ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
9. พยายามเลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายต่างๆที่ใช้ร่วมกันจากผู้ผลิตรายเดียวกัน
คุณๆคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าถ้าใช้อุปกรณ์จากผู้ผลิตรายเดียวกันจะทำให้ประสิทธิภาพการงานทำโดยร่วม
ของระบบ Wireless Network ของคุณจะดีขึ้น ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้นจริงๆด้วย เพราะถึงแม้แต่ละ
บริษัทผู้ผลิตจะผลิตอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐานเดียวกันและสามารถทำงานร่วมกันได้จริง แต่ในบางครั้ง
บริษัทผู้ผลิตได้มีการเพิ่มเติมเทคโนโลยี่พิเศษเฉพาะของตัวเองเข้าไป ซึ่งจะทำใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
หากใช้ร่วมกับอุปกรณ์ที่มาจากผู้ผลิตรายเดียวกัน การเลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายต่างๆจากผู้ผลิตเดียวกันจึงเป็น
ทางเลือกที่ดีที่สุด
10. เลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11g หรือดีกว่าขึ้นไป
หากคุณพอมีทุนทรัพย์ในการอัพเกรดระบบ Wireless Network เดิมที่ใช้อุปกรณ์ไร้สายมาตรฐาน IEEE
802.11b ให้คุณเลือกซื้ออุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11g เป็นอย่างน้อย ซึ่งมีรัศมีและความเร็วใน
การรับส่งสัญญาณสูงกว่ามาตรฐานเดิมเป็นอย่างมาก แต่ถ้าให้ดีที่สุดควรเลือกซื้ออุปกรณ์ไร้สายที่รองรับ
มาตรฐาน IEEE 802.11n ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มีความเร็วในการรับส่งสัญญาณได้มากกว่ามาตรฐาน
802.11g ถึง 5 เท่าตัว และที่สำคัญสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์มาตรฐานเก่าได้อีกด้วย
เครดิต synnex
9 วิธีเพิ่มความปลอดภัยให้ระบบ Wireless ของคุณ
ลองมาดู 9 วิธีง่ายๆ ในการเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ Wireless LAN ของคุณกันดีไหมครับ
1. เปลี่ยน username และ password admin ของตัวอุปกรณ์คุณจากค่ามาตรฐาน
ผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วตัวอุปกรณ์ที่เราใช้ในการกระจายสัญญาณไร้สายคงจะหนีไม่พ้นตัว all-in-one ที่มี
ทั้ง ADSL router+Switch+Access Point ครบในตัว หรือบางคนอาจจะใช้เป็นแบบ Wireless
Router เพราะว่ามีโมเด็มอยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจจะใช้เป็น Wireless Access Point เพียวๆ ไปเลย ซึ่งในการ
เซ็ตอัพอุปกรณ์ต่างๆ ที่กล่าวมาเหล่านี้นั้น ทางผู้ผลิตตัวอุปกรณ์จะให้ทำการเซ็ตอัพผ่านหน้าเว็บซึ่งจะต้องมีการ
ใส่ชื่อและรหัส (username&password) ก่อนที่จะทำการเข้าไปเปลี่ยนค่าต่างๆ ได้ [คำไม่พึงประสงค์]
username และ password ที่ว่านี่แหละครับ ที่ควรจะทำการเปลี่ยนไปจากค่าที่โรงงานตั้งให้ เพราะส่วนใหญ่
แล้วเวลาที่ Hacker จะเจาะระบบก็จะใช้ default username และ default password เหล่านี้แหละครับ
ในการลองผิดลองถูกเป็นอันดับแรก? …. แล้วคุณหละ เปลี่ยนหรือยัง?
2. เปิดฟังก์ชั่นการเข้ารหัสแบบ WPA/WEP
ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ตามครับจะต้องมีการเข้าหรัส (encryption) ซึ่งโดยหลักการง่ายๆ ก็คือว่าข้อมูลที่
ถูกส่งไปมาอยู่บนอากาศนั้นจะถูกเข้าหรัสก่อนเพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่ไม่หวังดีขโมยข้อมูลไปซึ่งก็จะเป็นข้อมูลที่
อ่านไม่รู้เรื่องเพราะโดนเข้ารหัสไว้ ดังนั้นคุณก็ควรที่จะทำการเข้ารหัสที่ว่านี้ไว้ด้วยนะครับ ซึ่งในทุกๆ ครั้งเมื่อ
เราต้องการที่จะทำการเชื่อมต่อสัญญาณไร้สาย เราก็จะต้องทำการใส่รหัสที่ว่านี้ด้วยครับ หรือถ้าเรามีการบันทึก
ไว้ที่เครื่องของเราอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใส่รหัสที่ว่านี้ครับ อ้อ … ผมแนะนำให้ใช้เป็นแบบ WPA นะครับ จะ
ปลอดภัยกว่า WEP
3. เปลี่ยนค่า SSID จากค่ามาตรฐาน
SSID ย่อมาจากคำว่า Service Set Identify หรือบ้านเราก็เรียกกันง่ายๆ ว่าชื่อเสา wireless นั่นแหละ
ครับ ซึ่งโดยปกติแล้วค่าปกติของชื่อนี้จะถูกเรียกตามชื่อของยี่ห้อสินค้าครับ เช่น NETGEAR ก็จะตั้ง SSID
ของอุปกรณ์ทุกตัวว่า NETGEAR เช่นเดียวกัน จริงอยู่ครับที่การรู้ชื่อ SSID นั้นไม่ได้หมายความว่าใครก็ตาม
จะเจาะเข้ามาใช้ระบบคุณได้ แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นครับ! เมื่อไหร่ก็ตามที่ใครบางคนค้นหาและเจอ default
SSID เค้าจะเห็นได้ทันทีว่าระบบของคุณเป็นระบบที่หละหลวมและอาจจะง่ายต่อการเจาะระบบไงหละครับ …
เปลี่ยนมันเถอะครับ ดีกว่า
4. เปิดฟังก์ชั่น MAC Address Access Control
อุปกรณ์แต่ละตัวที่มีระบบ IP จะต้องมีหมายเลขอยู่หนึ่งชุดที่ใช้ในการระบุตัวตน ภาษาอย่างเป็นทางการเค้า
จะเรียกว่า “MAC Address” หรือบางคนอาจจะเรียกว่า “Hardware Address” หรือ “Physical
Address” ก็ได้นะครับ ซึ่งในอุปรณ์ wireless จำพวก All-in-One, Wireless Router หรือ Wireless
Access Point จะมีฟังก์ชั่นสำหรับตรวจสอบหมายเลข MAC Address ดังกล่าวว่า เพื่อที่จะอนุญาติให้
เฉพาะหมายเลขที่เราต้องการ ใช้งานระบบเครือข่ายของเราได้ …. ฟังก์ชั่นนี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า MAC
Address Access Control ซึ่งถ้าเราเปิดฟังก์ชั่นนี้ไว้ เราก็จะสามารถสร้างความปลอดภัยได้เพิ่มขึ้นมาจาก
การเปิดฟังก์ชั่น WPA/WEP Encryption ไงหละครับ
5. ปิดฟังก์ชั่นการกระจายสัญญาณค่า SSID (SSID Broadcast)
จำได้ใช่ไหมครับว่า SSID มันคือชื่อของเสาสัญญาณไร้สายนั่นเอง ซึ่งถ้าเราปิดฟังก์ชั่นการกระจายค่า
SSID แล้วหละก็ เวลาที่ใครเค้าค้นหาเสาสัญญาณก็จะไม่เห็น SSID ของเรายังไงหละครับ และถ้าเวลาที่เราการ
เชื่อมต่อ ก็เพียงแต่ให้เรากรอกค่า SSID ที่เราได้เซ็ตอัพไว้เท่านั้นแหละครับ วิธีนี้ก็ถือเป็นวิธีที่ดีอีกหนึ่งวิธีครับ
6. ใช้ Static IP แทน Automatic IP ให้กับอุปกรณ์ในระบบเครือข่าย
ระบบเครื่อข่ายทั่วไปโดยปกติแล้วจะใช้ระบบ automatic IP โดยมีตัว DHCP เป็นตัวจ่าย IP ไปให้กับ
เครื่องทุกเครื่องในระบบ แต่โชคร้ายที่ฟังก์ชั่นนี้จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้จู่โจมระบบของคุณไงครับ เพราะ
เพียงแค่เชื่อมต่อเข้ามาได้แล้วก็ได้รับ IP ไปง่ายๆ สบายอุราเลย ดังนั้น ถ้าเครื่องในระบบเครื่อข่ายไม่เยอะนัก การ
ใช้ static IP ก็น่าจะทำให้ระบบมีความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีกระดับนะครับ
7. วางตัว Wireless Router หรือ Access Point ให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย
หลายคนอาจจะงงว่ามันเกี่ยวกันด้วยเหรอ? ลองฟังคำตอบดูนะครับ …
ในปัจจุบันนี้ระยะทางของสัญญาณไร้สายจะครอบคลุมได้ในระดับนึงใช่ไหมครับ ดังนั้นหากว่าเราวางตัว
อุปรณ์ไว้ไกล้ๆ หน้าต่างหรือประตูบ้านแล้วหละก็ คนทั่วๆ ไปที่อยู่ตามท้องถนนหรืออยู่ข้างบ้านของคุณก็อาจจะ
ค้นหาสัญญาณไร้สายของคุณเจอและพยายามทำการเชื่อมต่อเข้ามา แต่ถ้าเราเอาตัวอุปกรณ์กระจายสัญญาณไป
วางไว้ในจุดกึ่งกลางของพื้นที่ที่เราต้องการ คนที่อยู่นอกบ้านเราอาจจะเห็นสัญญาณอ่อนๆ หรือแทบจะไม่มี
สัญญาณเลยไงหละครับ นี่จึงเป็นอีกวิธีที่จะทำให้ระบบเรามีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าเป็นอุปกรณ์
Wireless Access Point สำหรับ Business Series นะครับ เค้าจะมีฟังก์ชั่น Adjust Power
Transmition?ติดมาด้วยครับ ซึ่งเราสามารถเซ็ตได้เลยแหละว่าจะให้ปล่อยสัญญาณความแรงขนาดไหน
เช่น?100%, 75%, 50% หรือ 25% เป็นต้น
8. ปิดระบบต่างๆ ถ้าไม่ได้ใช้นาน แน่นอนที่สุดครับ ถ้าเราไม่ได้ใช้ก็ปิดมันซะ … แล้วใครจะมา hack ได้
หละ ในเมื่อเราปิดมัน กั๊กๆๆ
9. สุดท้ายก็คือต้องทำตามทั้ง 8 ข้อที่บอกมาครับ
อาจจะไม่ต้องทั้งหมด ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของเราเอง ซึ่งก็แน่นอนแหละครับ เมื่อระบบความ
ปลอดภัยมากขึ้น ความยุ่งยากต่างๆ ก็ต้องตามมาด้วย เป็นเรื่องปกติครับ ต้องเลือกเอา …
Article by [คำไม่พึงประสงค์]หนึ่งออนไลน์.คอม

Colo คือ

colo หลายท่านคงจะสงสัยกับคำๆนี้มานานแล้วซินะครับ วันนี้ผมเลยกะรวบรวมความรู้ที่ผมมีและจากการค้นหา เอามาแนะนำเพื่อนๆกันนะครับ
ซึ่งตามไสตล์ที่ผมถนัด ผมเองขออธิบายแบบลูกทุ่งง่ายๆเลยนะครับ

1.ความหมาย
colo ชื่อเต็มๆจริงๆ ก็คือ Co-location ซึ่งความหมายสำหรับเวบบิต ความหมายก็คือการใช้เครื่อง serverเพื่อดาวน์โหลดและอัพโหลดไฟล์
โดยจะมีสองแบบหลักๆด้วยกันคือ
1.1 ใช้เครื่องของเรา Setup เอง แล้วนำไปวางที่ ISP โดยตรง ซึ่งจะต้องเสียค่าเช้า BW เป้นรายเดือน ราคาค่อนข้างสูง แต่เราจะสามารถ Control ทุกอย่างได้โดยตรง สามารถใช้งานคนเดียว หรือจะแบ่งให้คนอื่นเช่าพื้นที่ใน hd ต่อก็ได้ครับ
1.2 บริการ Colo จากผู้ให้บริการโดยตรง ซึ่งเราจะเสียค่าใช้จ่ายต่อเดือนน้อยกว่าแบบแรก ไม่ต้องนำเครื่องไปวางเอง เท่ากับเราเช่าพื้นที่ใช้งาน จากคนที่เค้าเช่า bw จาก isp ต่ออีกทีนึง โดยจะมีการจำกัดพื้นที่ และทรัพยากรระบบสำหรับใช้งาน โดยขึ้นกับ package ของผู้ให้บริการเป็นหลัก ซึ่งแบบหลังเป็นที่นิยมมากกว่า


2.แล้วความเร็วที่ได้ล่ะ
ความเร็วนั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วนนะครับ
2.1 ส่วนของ colo
ก็คือส่วนของที่ใช้โหลดบิตติดต่อกับแทรกเกอร์ ซึ่งความเร็วที่ได้นั้นเป็นความเร็วแบบเทพ หุหุ
นั้นก็คือเรียกได้ว่าวิ่งกันเป็นหน่วย MB/s (ขึ้นอยู่กับ seed, leech) และขนาดพอร์ตที่ใช้ด้วย
ซึ่งปัจจุบัน จะมี 2 ขนาด คือ พอร์ต 100 MB และพอร์ต 1GB และยังแยกอีกด้วยนะครับว่าเป็นแบบ inter หรือ local
2.2 ส่วนของ user ที่ติดต่อกับ colo
จะได้ตามความเร็วเต็มที่ของเน็ตที่เราใช้ตามปกติหารด้วย 8 ก็จะได้ความเร็วโดยประมาณในการโหลดแต่ละไฟล์กลับบ้าน

3.แล้วเราจะควบคุมการใช้งานยังไง
แบบ romote destop แบบนี้กำลังเป็นที่นิยมกันมาก เพราะง่ายต่อการใช้งานเสมือนดังว่าในใช้งานหน้าจอคอม พิวเคอร์เราเอง
สามารถทำงานได้หลากหลายกว่า
แบบ webui แบบนี้ก็กำลังนิยมเช่นกันครับ

4.โปรแกรมที่เกี่ยวข้อง
- โปรแกรมบิต ขึ้นอยู่กับผู้บริการ ที่นิยมก็คือ uTorrent
-CuteFTP ใช้เพื่อดาวน์โหลดและอัพโหลดระหว่างเครื่องบ้านกับเครื่อง colo
-FireFox ใช้สำหรับโหลดทอเร้น สั่งงานทอเร้น

5.ราคาล่ะ
ราคาก็แบ่งแยกไปตามเพ็จเก็จที่เราเลือกขอผู้บริการแต ่ล่ะเจ้า ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามโปรโมชั่นและการบริการ โดยสิ่งที่เกี่ยวข้องทีดังนี้คือ
1.พื้นที่ที่ให้เก็บไฟล์ที่ colo
2.จำนวนไฟล์ทอเร้นส์ที่ให้ใช้งานพร้อมกัน
3.ขนาดของพอร์ตที่ใช้งาน ปัจจุบัน มี 2 ขนาด คือ พอร์ต 100 MB และ 1GB
4.ชนิดของการควบคุม เช่น remote - webui
ซึ่งเพ็จแก็จราคาแต่ล่ะที่ต้องสำรวจดูนะครับ เพราะแต่ละที่ไม่เหมือนกัน และราคาที่กล่าวอ้างนี่เป็นราคาสรุปโดยรวมนะครับ


6.ข้อดี
- สามารถดาวน์โหลดและอัพโหลดได้แรงแบบโครตๆ ทำให้เรโชเราพุ่งกระจาย
- ไม่ต้องเปิดเครื่องคอมเราทิ้งไว้ ซึ่งจะเป็นการถนอมคอมเราเอง

7.ข้อเสีย
- เพิ่มค่าใช้จ่ายในการที่จะต้องเช่า colo
- ยังไงเสีย การอัพโหลดไฟล์จาก colo กับเครื่องบ้าน ความเร็วก็ยังได้เท่าเดิม



เคดิต Th colo

23 วิธีเร่งสปีด Windows XP

23 วิธีเร่งสปีด Windows XP
1. ลดเวลาการ boot เครื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยอย่าเอาเงินไปละลายกับ software ที่ช่วย defrag เนื่องจาก defrag ของ windows นั้นใช้งานได้ดีอยู่แล้ว เอาเงินไปซื้อ HD Ultra-133 หรือ SATA ที่มี cache 8 MB จะดีกว่า

2. ถ้า RAM น้อยกว่า 512 ก็ซื้อมาเพิ่มซะ นี่เป็นวิธีที่ไม่แพงและสามารถ upgrade ได้ง่าย ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องได้อย่างชัดเจน

3. ใช้ file system แบบ NTFS : หากคุณไม่รู้ว่ามันเป็น NTFS อยู่แล้วรึยัง ให้ double clcik ที่ my computer icon, คลิกขวาที่ drive C เลือก properties แล้วดูตรง File System type ถ้ามันเป็น FAT 32 อยู่ ก็ back-up ข้อมูลซะ จากนั้นเลือก Start Menu -> Run พิมพ์ cmd แล้วคลิก OK พอมีหน้าต่าง prompt ขึ้นมา ให้พิมพ์ convert c: /fs:ntfs แล้วกด enter โดยขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาสักหน่อย ต้องแน่ใจด้วยว่าไม่มีอะไรรบกวน com คุณระหว่างที่มันทำงานอยู่ และเครื่องคุณต้องไม่ติดไวรัส

File System ของ dri ve ที่คุณใช้ boot นั้น อาจเป็น FAT32 หรือ NTFS ก็ได้ แต่เราแนะนำให้ใช้ NTFS เพื่อประโยชน์ในเรื่องของความปลอดภัย, ความน่าเชื่อถือ และการใช้งาน hd ใหญ่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Disable file indexing ซะ
เจ้า indexing service นี้จะดึงข้อมูลจากเอกสารและไฟล์บน hard drive ของคุณเอามาสร้างเป็นดรรชนีสำหรับค้นหา ซึ่งการทำเช่นนี้มันอาจจะทำให้เครื่องคุณทำงานหนักขึ้น

แนวคิดของมันคือ ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำ, วลี, หรือคุณสมบัติภายในเอกสารใดๆ ได้ ในกรณีที่เขามีไฟล์เอกสารเป็นร้อยหรือเป็นพัน และไม่รู้ชื่อเอกสารที่เขาต้องการค้นหา แต่โปรแกรม search ที่ติดมากับ Windows XP นั้นก็สามารถทำแบบนี้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้ indexing service แค่มันจะใช้เวลานานกว่าเท่านั้น เนื่องจาก OS ต้องเปิดไฟล์ขึ้นมาทีละไฟล์เพื่อค้นหาสิ่งที่ user ต้องการ

คนส่วนใหญ่ไม่เคยต้องการ feature search แบบนี้หรอก คนที่ต้องการจะเป็นพวกที่อยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีเอกสารเป็นพันๆ ซึ่งอยุ่บน server อย่างน้อย 1 ตัว แต่หากคุณเป็นพวกวางระบบธรรมดาๆ แล้ว ลูกค้าของคุณมักจะเป็นธุรกิจขนาดกลางหรือเล็กเสียมากกว่า และถ้าลูกค้าของคุณไม่ได้ต้องการ feature แบบนี้ เราแนะนำให้คุณ disable มันซะจะดีกว่า

วิธีทำ: double click My Computer -> คลิกขวาที่ drive C -> เลือก properties แล้วยกเลิก "Allow Indexing Service to index this disk for fast file searching." ซะ -> Apply change ให้กับ "C: subfolders and files," -> OK และถ้ามี error message เช่น "Access is denied" ปรากฏขึ้นมา ก็ให้เลือก Ignore All ซะ

5. Update driver ให้กับ VGA และ Chipset ของ Mainboard และ config ค่าต่างๆ ใน BIOS ใหม่ โดยวิธี config BIOS อย่างถูกต้องนั้น หาอ่านได้จากบทความใน site ของผมเองครับ (..เจ้าของกระทู้เอามาจากเว็บไหนครับ?)

6. สั่ง Empty Windows Prefetch folder ทุกๆ 3 เดือน
Windows XP สามารถคะเนได้ว่า data ส่วนไหนที่มันใช้บ่อยๆ มันจะดึงมาเก็บเตรียมไว้ใน prefetch folder ทำให้ process หลายๆ ตัวดูเหมือนจะทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็น feature ที่ดี แต่พอนานๆ เข้า เจ้า prefetch folder นี้จะมีข้อมูลมากเกินไป โดยที่บางส่วนไม่จำเป็นต้องใช้งานอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ Windows เสียเวลาดึงมันขึ้นมาทำงานมากเกินความจำเป็นและทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง

ไม่มีข้อมูลสำคัญเก็บอยู่ใน folder นี้ ดังนั้นคุณสามารถลบ file ใน folder นี้ได้ทั้งหมด

7. ใช้ disk cleanup ทุกเดือน
โดย double click ที่ My Computer -> คลิกขวาที่ drive C -> เลือก properties -> กดปุ่ม Disk Cleanup ที่อยู่ทางขวาของกราฟวงกลม และเลือกลบ temporary file ทั้งหมด

8. ที่ Device Manger -> double click ที่อุปกรณ์ IDE ATA/ATAPI Controllers และดูว่ามีการใช้งาน DMA กับทุก drive ที่ติดต่ออยู่กับ Primary และ Secondary Controller หรือไม่
โดยการ double click ที่ Primary IDE Channel -> เลือก tab Advanced Settings และตรวจสอบว่า Transfer Mode ถูก set เป็น "DMA if Available" ทั้ง Device 0 และ Device 1 หรือไม่ และทำอย่างเดียวกันกับ Secondary IDE Channel

9. เปลี่ยนสาย cable
เทคโนโลยีของ hard disk พัฒนาขึ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้สาย cable ที่จะดึงประสิทธิภาพมันออกมาได้ ตรวจสอบว่าคุณใช้ cable แบบ Ultra-133 (80 สาย) กับอุปกรณ์ IDE ทุกตัว ถ้าสายนั้นต่อกับอุปกรณ์ชิ้นเดียว อุปกรณ์นั้นต้องต่ออยู่กับ connector ที่ปลายสาย หากต่อกับ connector ตรงกลางสาย จะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณ ซึ่งสำหรับ hard disk แบบ Ultra DMA แล้ว ปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณนี้จะมีผลให้ drive ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อีกทั้งสายเหล่านี้ support feature "Cable Select" ตำแหน่งของอุปกรณ์บน cable จึงมีความสำคัญ (ใครแปลได้เข้าใจกว่านี้ไหมครับ)

10. กำจัด spyware ออกให้หมด
โดยใช้ freeware เช่น AdAware ของ LavaSoft หรือ SpyBot Search & Destroy โดยเมื่อคุณ install โปรแกรมพวกนี้แล้ว ให้ download update ล่าสุดของมันลงมาที่เครื่องคุณ ก่อนที่จะเริ่ม scan และสิ่งใดที่โปรแกรมหาพบนั้น สามารถลบออกได้อย่างปลอดภัยทั้งสิ้น แต่ freeware ที่ require ว่า spyware เหล่านี้จะต้องมีอยู่จะไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปหากส่วนหนึ่งส่วนใดของ spyware ถูกลบออกไป แต่ถ้าลูกค้าของคุณต้องการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งจริงๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะมี spyware ติดมาด้วยหรือไม่ คุณก็คงต้องลงโปรแกรมนั้นให้เขาใหม่ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลบ spyware ให้ดูที่หน้า Web Pro News (เว็บไหนล่ะเนี่ย)

11. เอาโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกจาก Startup ด้วย MSCONFIG
โดยเลือก Start -> Run -> พิมพ์ msconfig -> คลิก ok -> เลือก tab StartUp และคลิกเลือก item ที่คุณไม่ต้องการให้ load ตอน startup ออกเสีย หากคุณไม่แน่ใจว่าแต่ละตัวมันคืออะไร ให้เข้าไปดูที่ WinTasks Process Library (มี link รึเปล่าครับ ตัวนี้?) มันจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ system process และโปรแกรมที่พบกันบ่อยๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ spyware และคำอธิบาย หรืออาจจะหาข้อมูลของมันอย่างรวดเร็วโดย search ชื่อไฟล์นั้นๆ ใน search engine อย่าง google เลย

12. เอาโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออก ด้วย Add/Remove Programs ใน Control Panel

13. ยกเลิกการใช้งาน Active Desktop และ animation ทุกชนิดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
โดย double click icon System ใน control panel -> เลือก tab Advanced -> กดปุ่ม settings ในส่วนของ Performance โดยคุณสามารถทดลองปรับอะไรเล่นๆ ที่นี่ได้ทั้งหมดเนื่องจากมันไม่มีผลกระทบกับเสถียภาพของเครื่องคุณ ยกเว้นเรื่องความไวของการตอบสนอง

14. ถ้าคุณเป็นพวก advanced user ที่ไม่กลัวการแก้ไข registry ให้ลองใช้งานโปรแกรม Tweak XP ในส่วนของ performance registry tweak

15. แวะไปที่ Windows Update ของ MS บ้าง และ download update ที่ระบุว่า "Critical" มาลงที่เครื่อง ส่วน update อื่นๆ นั้นก็ตามแต่คุณเห็นสมควร

16. update Anti-Virus ทุกสัปดาห์หรือทุกวัน
โดยลงโปรแกรม anti-virus แค่ตัวเดียวเท่านั้น การลง anti-virus หลายตัวมีผลอย่างรุนแรงกับประสิทธิภาพและเสถียรภาพของเครื่องคุณ

17. ตรวจสอบว่ามี font น้อยกว่า 500 ตัวบนเครื่องคุณ
ยิ่งคุณลง font เยอะ windows คุณก็ยิ่งช้า แม้ว่า Xp จะจัดการ font ได้ดีกว่า OS version ก่อนๆ แต่ font ที่มีจำนวนมากกว่า 500 จะทำให้ประสิทธิภาพเครื่องคุณลดลงอย่างชัดเจน

18. อย่าแบ่ง partiton เพราะว่า NTFS ของ Windows XP ทำงานได้ดีกว่าบน partition ขนาดใหญ่เพียง partition เดียว การแบ่ง partition ไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของคุณ และการ format ใหม่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปหากคุณต้องการ reinstall OS

การแบ่ง partition สามารถทดแทนได้ด้วยการใช้ folder เช่น แทนที่คุณจะเก็บ data ไว้ใน drive D คุณก็สร้าง folder 'D drive" ขึ้นมาแทน ซึ่งมันได้ประโยชน์เช่นเดียวกับการแบ่ง partition แต่มีข้อดีกว่าคือไม่ทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง และทำให้พื้นที่ว่างไม่ถูกจำกัดด้วยขนาดของ partition อีกต่อไป (แต่ถูกจำกัดด้วยขนาดของ hard disk ของคุณแทน) หมายความว่า คุณไม่จำเป็นต้อง resize partition อีกต่อไป ซึ่งเป็นการเสียเวลาและเสี่ยงกับข้อมูลหายด้วย

19. ตรวจสอบ RAM ว่าทำงานอย่างถูกต้อง
เราแนะนำให้ใช้โปรแกรม MemTest86 โดยหลังจาก d/l มาแล้ว มันจะสร้างแผ่น CD หรือ diskette ที่ boot ได้ (แล้วแต่คุณจะเลือก) ที่จะทำการทดสอบ 10 อย่างโดยอัตโนมัติหลังจากที่คุณใช้มัน boot เครื่อง ให้ run มันอย่างน้อยสามครั้ง (ครั้งละ 10 test) ถ้าโปรแกรมพบ error ให้คุณปิดเครื่อง, ถอดปลั๊ก, ถอด RAM ออกแผงหนึ่ง (ถ้าคุณมีมากกว่าแผงเดียว) แล้วทำการ run ใหม่อีกครั้ง จำไว้ว่า RAM เสียนั้นซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น

20. ถ้าเครื่องคุณมี CD หรือ DVD writer ให้เช็ค web ของผู้ผลิตว่ามี firmware ให้ update หรือไม่ บางทีคุณอาจจะสามารถ upgrade writer ของคุณให้ทำงานเร็วขึ้นได้ และที่เยี่ยมที่สุดคือ วิธีนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

21. ยกเลิกการใช้งาน service ที่ไม่จำเป็น
Windows XP จะ load service ขึ้นมาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยหลายๆ ตัวนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ให้ตรวจสอบว่า service ใดที่คุณสามารถ disable ได้จาก Black Viper site for Windows XP configurations (ไม่มี link อีกแล้วอ่ะ)

22. ถ้าคุณเจอปัญหา Windows Explorer ตัวหนึ่ง hang และทำให้ระบบคุณพลอยพังไปด้วย ให้ใช้วิธีนี้
เปิด My Computer -> เลือก menu Tools -> Folder Options -> เลือก tab View -> เลื่อนลงมาด้านล่างจนพบ "Launch folder windows in a separate process" ให้ enable option ตัวนี้ซะ แล้ว reboot

23. เปิด case ของคุณออกอย่างน้อยปีละครั้ง แล้วเป่าเอาฝุ่นออก รวมถึงตรวจสอบว่าพัดลมทุกตัวยังทำงานเป็นปกติ และสังเกตดูที่ตัว capacitor แต่ละตัวบน mainboard ด้วยว่ามีอาการบวมหรือรั่วหรือไม่